Science Experiences for Early Childhood
วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ครั้งที่ 15 วันที่ 27 กันยายน 2554
อาจารย์ทบทวนเนื้อหาที่เรียนมาทั้งหมด และอาจารย์ก็สอนวิธีการวัดและประเมินผลวิชาการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยว่ามีแนวการวัดอย่างไร
ครั้งที่ 13 วันที่ 13 กันยายน 2554
กลุ่มของดิฉัน เขียนแผน เรื่องหน่วยกล้วย และอาจารย์ถามว่าเรื่องที่เราเอามานั้นเอามาจากไหน หัวข้อเรื่องที่เราจะนำมาสอนเราก็ต้องดูจาก สาระการเรียนรู้ ซึ่งประกอบไปด้วย
1. สิ่งที่อยู่รอบตัวเด็ก
2. เรื่องราวเกี่ยวกับเด็ก
3. บุคคลและสถานที่
4. ธรรมชาติรอบตัว
และในแผนการสอนมีส่วนประกอบอะไรบ้างที่เด็กต้องเรียนรู้ สิ่งที่เด็กต้องเรียนรู้ มีดังนี้
1. วัตถุประสงค์
2. สารการเรียนรู้
3. ประสบการณ์สำคัญ
4. กิจกรรมการสอน
- ขั้นนำ
- ขั้นสอน
- ขั้นสรุป
สมรรถณะของเด็กประกอบไปด้วย
1. ด้านร่างกาย : การปีนป่าย การเคลื่อนไหว
2. อารมณ์/จิตใจ : แสดงความรู้สึก รับรู้ การกระทำ
3. สังคม : การทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น แบ่งปัน
4. ภาษา : การพูด การสื่อสาร
5. วิทยาศาสตร์ : การให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5
6. คณิตศาสตร์ : การวัด คาดคะเน
7. สร้างสรรค์ : การทำงานศิลปะสร้างสรรค์ จินตนาการ
ประสบการณ์สำคัญสำคัญของเด็กประกอบไปด้วย
1. กิจกรรมการเคลื่อนไหว
2. กิจกรรมเสริมประสบการณ์ ( ด้านสติปัญญา ทักษะที่สำคัญ )
3. กิจกรรมกลางแจ้ง
4. กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์
5. กิจกรรมเสรี
6. กิจกรรมเกมการศึกษา
ครั้งที่ 12 วันที่ 6 กันยายน 2554
อาจารย์ให้ดู VDO เรื่อง มหัศจรรย์ของน้ำ...
การทดลองที่ 1
- ต้มน้ำเเข็งให้เป็นของเหลวเมื่อเกิดเป็นไอ เอาน้ำเเข็งในจานมาวางด้านบน
ผลที่เกิดขึ้น คือ กลายเป็นหยดน้ำ
การทดลองที่ 2
- หาภาชนะมา 2 เเบบ [ เเบบที่ 1 เเก้ว เเบบที่ 2 จาน ] นำน้ำมาเทลงในภาชนะทั้ง 2 เเล้วนำไปตากเเดด 1 วัน ผลที่เกิดขึ้น คือ น้ำในจานลดลง [ เพราะ ภาชนะที่มีผิวหน้ากว้างจะเเห้งเร็วกว่าภาชนะที่มีผิวหน้าเเคบ]
การทดลองที่ 3
- นำน้ำมาเทใส่เเก้วจนเต็ม นำกระดาษมาปิดปากเเก้ว เเล้วนำไปเเช่ตู้เย็น ผลที่เกิดขึ้น คือ น้ำกลายเป็นน้ำเเข็งจนล้นเเก้ว [ เพราะ น้ำจะมีโมเลกุลที่อัดตัวกันเเน่น เมื่อเเช่เย็นโมเลกุลจะ ขยายตัว ]
การทดลองที่ 4
- นำเเครอทมาเทใส่ลงในเเก้ว ที่เราใส่น้ำเกลือเอาไว้ ผลที่เกิดขึ้น คือ เเครอทลอยเหนือน้ำ [ เพราะ ในเเก้วที่มีน้ำเกลือ มีโมเลกุลลดน้อยลง ]
การทดลองที่ 5
- หาขวดน้ำมา 1 ใบ เจาะรูให้ตรงกัน 3 รู เมื่อเจาะเสร็จก็ปิดรูทั้ง 3 เเล้วใส่น้ำในขวดให้เต็ม จากนั้นก็เปิดทีละรู ผลที่เกิดขึ้น คือ น้ำทั้ง 3 รู พุ่งไปเท่ากัน [ รูที่ 3 พุ่งไกลที่สุด เพราะ เกิดจากเเรงดันของน้ำ]
การทดลองที่ 1
- ต้มน้ำเเข็งให้เป็นของเหลวเมื่อเกิดเป็นไอ เอาน้ำเเข็งในจานมาวางด้านบน
ผลที่เกิดขึ้น คือ กลายเป็นหยดน้ำ
การทดลองที่ 2
- หาภาชนะมา 2 เเบบ [ เเบบที่ 1 เเก้ว เเบบที่ 2 จาน ] นำน้ำมาเทลงในภาชนะทั้ง 2 เเล้วนำไปตากเเดด 1 วัน ผลที่เกิดขึ้น คือ น้ำในจานลดลง [ เพราะ ภาชนะที่มีผิวหน้ากว้างจะเเห้งเร็วกว่าภาชนะที่มีผิวหน้าเเคบ]
การทดลองที่ 3
- นำน้ำมาเทใส่เเก้วจนเต็ม นำกระดาษมาปิดปากเเก้ว เเล้วนำไปเเช่ตู้เย็น ผลที่เกิดขึ้น คือ น้ำกลายเป็นน้ำเเข็งจนล้นเเก้ว [ เพราะ น้ำจะมีโมเลกุลที่อัดตัวกันเเน่น เมื่อเเช่เย็นโมเลกุลจะ ขยายตัว ]
การทดลองที่ 4
- นำเเครอทมาเทใส่ลงในเเก้ว ที่เราใส่น้ำเกลือเอาไว้ ผลที่เกิดขึ้น คือ เเครอทลอยเหนือน้ำ [ เพราะ ในเเก้วที่มีน้ำเกลือ มีโมเลกุลลดน้อยลง ]
การทดลองที่ 5
- หาขวดน้ำมา 1 ใบ เจาะรูให้ตรงกัน 3 รู เมื่อเจาะเสร็จก็ปิดรูทั้ง 3 เเล้วใส่น้ำในขวดให้เต็ม จากนั้นก็เปิดทีละรู ผลที่เกิดขึ้น คือ น้ำทั้ง 3 รู พุ่งไปเท่ากัน [ รูที่ 3 พุ่งไกลที่สุด เพราะ เกิดจากเเรงดันของน้ำ]
ครั้งที่11วันที่ 30 สิงหาคม 2554
สาระการเรียนรู้มาจาก เนื่อหา ดังนี้
-สิ่งที่อยู่รอบตัว
-เรื่องราวเกี่ยวกับเด็ก
-บุคคลและสถานที่
-ธรรมชาติ
ประสบการณ์สำคัญ
-ร่างกาย
-อารมณ์-จิตใจ
-สังคม
-สติปัญญา
-ภาษา
-วิทยาศาสตร์
-คณิตศาสตร์
ทักษะทางวิทยาศาสตร์
-ทีกษะการสังเกต
-ทักษะการจำแนก
-ทักษะการวัด
-ทักษะการสื่อความหมาย
-ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล
-ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา
-ทักษะการคำนวน
ครั้งที่ 10วันที่23 สิงหาคม 2554
วันนี้เรียนรู้การประดิษฐ์จากสิ่งของเหลือใช้
- หลอด
- ปากกา
- กระดาษ
- กล่องลัง
- กล่องยาสีฟัน
- กระป๋อง
- แก้วน้ำ
- แกนทิชชู
- ลัง
- ฝาขวดน้ำ
วัสดุ | ภาชนะ |
แกนทิชชู | กล่องนม |
ฝาขวดน้ำ | กล่องยาสีฟัน |
หลอด | กระป๋อง |
ปากกา | ลัง |
กระดาษ | แก้ว |
ครั้งที่ 9 วันที่ 16 สิงหาคม 2554
แสงและการมองเห็น
ลำแสง
แสงเป็นพลังงานรูปหนึ่ง เดินทางในรูปคลื่นด้วยอัตราเร็วสูง 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที แหล่งกำเนิดแสงมีทั้งแหล่งกำเนิดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น แสงดวงอาทิตย์ที่เป็นแหล่งพลังงานของสิ่งมีชีวิต แหล่งกำเนินแสงที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น แสงสว่างจากหลอดไฟ เป็นต้น
เมื่อแสงเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มควันหรือฝุ่นละออง จะเห็นเป็นลำแสงเส้นตรง และสามารถทะลุผ่านวัตถุได้ วัตถุที่ยอมให้แสงเคลื่อนที่ผ่านเป็นเส้นตรงไปได้นั้น เราเรียกวัตถุนี้ว่า วัตถุโปร่งใส เช่น แก้ว อากาศ น้ำ เป็นต้น ถ้าแสงเคลื่อนที่ผ่านวัตถุบางชนิดแล้วเกิดการกระจายของแสงออกไป โดยรอบ ทำให้แสงเคลื่อนที่ไม่เป็นเส้นตรง เราเรียกวัตถุนั้นว่า วัตถุโปร่งแสง เช่น กระจกฝ้า กระดาษไข พลาสติกฝ้า เป็นต้น ส่วนวัตถุที่ไม่ยอมให้แสงเคลื่อนที่ผ่านไปได้ เราเรียกว่า วัตถุทึบแสง เช่น ผนังคอนกรีต กระดาษแข็งหนาๆ เป็นต้น วัตถุทึบแสงจะสะท้อนแสงบางส่วนและดูดกลืนแสงบางส่วนไว้ทำให้เกิดเงาขึ้น
การสะท้อนของแสง (Reflection)
เป็นปรากฏการณ์ที่แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีความหนาแน่นค่าหนึ่งมายังตัวกลางที่มีค่าความหนาแน่นอีกตัวหนึ่ง ทำให้แสงตกกระทบกับตัวกลางใหม่ แล้วสะท้อนกลับสู่ตัวเดิม เช่น การสะท้อนของแสงจากอากาศกับผิวหน้าของกระจกเงาจะเกิดการสะท้อนแสงที่ผิวหน้าของกระจกเงาราบแล้วกลับสู่อากาศดังเดิม เมื่อแสงตกกระทบกับผิวหน้าของตัวกลางใดๆ ปริมาณและทิศทางของการสะท้อนของแสง จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของพื้นผิวหน้าของตัวกลางที่ตกกระทบ จากรูป เมื่อลำแสงขนานตกกระทบพื้นผิวหน้าวัตถุที่เรียบ แสงจะสะท้อนเป็นลำแสงขนานเหมือนกับลำแสงที่ตกกระทบ การสะท้อนบนพื้นผิวหน้าที่เรียบ โดยเรียกว่า การสะท้อนแบบสม่ำเสมอ
การสะท้อนของแสงเมื่อตกกระทบพื้นผิววัตถุที่เรียบ
เกิดขึ้นเมื่อลำแสงตกกระทบไปยังพื้นกระจกหรือพื้นผิวที่ขรุขระจะส่งผลให้แสงสะท้อนกลับไปคนละทิศละทาง
- รังสีตก กระทบ (Incident Ray) คือ รังสีของแสงที่พุ่งเข้าหาพื้นผิวของวัตถุ
- รังสีสะท้อน (Reflected Ray) คือ รังสีของแสงที่พุ่งออกจากพื้นผิวของวัตถุ
- เส้นปกติ (Normal) คือ เส้นที่ลากตั้งฉากกับพื้นผิวของวัตถุตรงจุดที่แสงกระทบ
- มุมตกกระทบ (Angle of Incidence) คือ มุมที่รังสีตกกระทบทำกับเส้นปกติ
- มุมสะท้อน (Angle of Reflection) คือ มุมที่รังสีสะท้อนทำกับเส้นปกติ
กฎการสะท้อนของแสง (The Laws of Reflection) มี 2 ข้อ ดังนี้
- รังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน และเส้นปกติจะอยู่ในระนาบเดียวกัน
- มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน ดังภาพ
สเปกตรัมของแสง
แสงจากดวงอาทิตย์เป็นแสงขาว ซึ่งเราสามารถใช้ปริซึมแยกแสงที่เป็นองค์ประกอบของแสงขาวออกจากกันได้เป็นแถบสีต่างๆ 7 สีเรียงติดกัน เราเรียกแถบสีที่เรียงติดกันนี้ว่า สเปกตรัม
ภาพแสดงสเปกตรัมของคลื่นแสงขาว
ปรากฏการณ์รุ้งกินน้ำ ก็เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หยดน้ำฝนหรือละอองน้ำทำหน้าที่เป็นปริซึม แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาจะเกิดการหักเหทำให้เกิดเป็นแถบสีบนท้องฟ้า
ภาพแสดงการเกิดสเปกตรัมสีรุ้งของแสงเมือลำแสงผ่านปริซึม
จากภาพแสงสีแดงจะเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสงสีม่วง ทำให้แสงสีแดงเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่น้อยกว่าแสงสีม่วง เป็นสาเหตุทำให้เกิดการกระจายของแสงขาวเรียงกันเป็นแถบสีเกิดขึ้น
สีของแสง
การมองเห็นสีต่าง ๆ บนวัตถุเกิดจากการผสมของแสงสี เช่น แสงขาวอาจเกิดจากแสงเพียง 3 สีรวมกัน แสงทั้ง 3 สี ได้แก่ แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน้ำเงิน หรือเรียกว่า สีปฐมภูมิ และถ้านำแสงที่เกิดจากการผสมกันของสีปฐมภูมิ 2 สีมารวมกันจะเกิดเป็น สีทุติยภูมิ ซึ่งสีทุตยภูมิแต่ละสีจะมีความแตกต่างกันในระดับความเข้มสีและความสว่างของแสง ดังภาพ
เรามองเห็นวัตถุที่เปล่งแสงด้วยตัวเองไม่ได้ก็เพราะมีแสงสะท้อนจากวัตถุนั้นเข้าสู่นัยย์ตาของเรา และสีของวัตถุก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของแสงที่สะท้อนนั้นด้วย โดยวัตถุสีน้ำเงินจะสะท้อนแสงสีน้ำเงินออกไปมากที่สุด สะท้อนแสงสีข้างเคียงออกไปบ้างเล็กน้อย และดูดกลืนแสงสีอื่น ๆ ไว้หมด ส่วนวัตถุสีแดงจะสะท้อนแสงสีอดงออกไปมากที่สุด มีแสงข้าวเคียงสะท้อนออกไปเล็กน้อย และดุดกลืนแสงสีอื่น ๆ ไว้หมด สำหรับวัตถุสีดำจะดูดกลืนทุกแสงสีและสะท้อนกลับได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังภาพ
การหักเหของแสง (Refraction of Light)
เมื่อแสงเดินทางผ่านวัตถุหรือตัวกลางโปร่งใส เช่น อากาศ แก้ว น้ำ พลาสติกใส แสงจะสามารถเดินทางผ่านได้เกือบหมด เมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลางชนิดเดียวกัน แสงจะเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอ แต่ถ้าแสงเดินทางผ่านตัวกลางหลายตัวกลาง แสงจะหักเห
สาเหตุที่ทำให้แสงเกิดการหักเห
เกิดจากการเดินทางของแสงจากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่งซึ่งมีความหนาแน่นแตกต่างกัน จะมีความเร็วไม่เท่ากันด้วย โดยแสงจะเคลื่อนที่ในตัวกลางโปร่งกว่าได้เร็วกว่าตัวกลางที่ทึบกว่า เช่น ความเร็วของแสงในอากาศมากกว่าความเร็วของแสงในน้ำ และความเร็วของแสงในน้ำมากกว่าความเร็วของแสงในแก้วหรือพลาสติก
การที่แสงเคลื่อนที่ผ่านอากาศและแก้วไม่เป็นแนวเส้นตรงเดียวกันเพราะเกิดการหักเหของแสง โดยแสงจะเดินทางจากตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า ( โปร่งกว่า) ไปยังตัวกลางที่มีความหนาแน่นมากกว่า ( ทึบกว่า) แสงจะหักเหเข้าหาเส้นปกติ ในทางตรงข้าม ถ้าแสงเดินทางจากยังตัวกลางที่มีความหนาแน่นมากกว่า ไปยังตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า แสงจะหักเหออกจากเส้นปกติ
ดรรชนีหักเหของตัวกลาง (Index of Refraction)
การเคลื่อนที่ของแสงในตัวกลางต่างชนิดกันจะมีอัตราเร็วต่างกัน เช่น ถ้าแสงเคลื่อนที่ในอากาศจะมีอัตราเร็วเท่ากับ 300,000,000 เมตรต่อวินาที แต่ถ้าแสงเคลื่อนที่ในแก้วหรือพลาสติกจะมีอัตราเร็วประมาณ 200,000,000 เมตรต่อวินาที การเปลี่ยนความเร็วของแสงเมื่อผ่านตัวกลางต่างชนิดกัน ทำให้เกิดการหักเห อัตราเร็วของแสงในสุญญากาศต่ออัตราเร็วของแสงในตัวกลางใดๆ เรียกว่า ดรรชนีหักเหของตัวกลาง นั้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)